วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Tense

โครงสร้าง Tense ทั้ง 12

Tense
Structure
Present
Simple Tense
S + V1 [ s , es ]
 
Continuous Tense
S + is , am , are + V.ing
 
Perfect Tense
S + has , have + V3
 
Perfect Continuous Tense
S + has , have + been + V.ing
Past
Simple Tense
S + V2
 
Continuous Tense
S + was , were + V.ing
 
Perfect Tense
S + had + V3
 
Perfect Continuous Tense
S + had been + V.ing
Future
Simple Tense
S + will , shall + V1
 
Continuous Tense
S + will , shall + be + V.ing
 
Perfect Tense
S + will , shall + have + V3
 
Perfect Continuous Tense
S + will , shall + have been + V.ing
 
 
ตัวอย่างการใช้ Tenses ทั้ง 12 Tenses
หลักการใช้ Past Continuous Tense (อดีตกาลต่อเนื่อง)

1.ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นซ้อนกันในอดีต โดย…
เหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ จะใช้ Past Continuous Tense
เหตุการณ์สั้นๆนั้นได้เข้ามาแทรก จะใช้ Past Simple Tense  เช่น

 I met you boyfriend in the park while I was jogging.
(ฉันเจอแฟนคุณในสวนตอนฉันกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่)

2.ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นในอดีต ในช่วงเวลาที่บ่งไว้อย่างชัดเจน เช่น

I was taking a shower at eight o’clock last night.
(ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อวานตอนสองทุ่ม)

 3.ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นควบคู่กันไป ณ เวลาเดียวกัน (Parallel Actions) โดย เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์จะใช้ Past Continuous Tense เช่น

I was sleeping while the teacher was teaching,
(ฉันนอนหลับขณะที่คุณครูกำลังสอนอยู่)

4.เรามักใช้คำว่า when, while, as ใน Past Continuous Tense เพื่อเชื่อมเหตุการณ์ ต่างๆเข้าด้วยกัน เช่น

As I was going to the church, he was going to the sea.
(ขณะที่ฉันกำลังเดินทางไปที่โบสถ์ เขาก็กำลังไปทะเล)



หลักการใช้ Future Continuous Tense (อนาคตกาลต่อเนื่อง)




1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ กำลังจะเกิดขึ้นตามวันหรือเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคตอย่างชัดเจน โดยจะสื่อความหมายออกมาว่า เมื่อถึงวันและเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เราก็จะเห็นเหตุการณ์นั้นดำเนินอยู่ เช่น

He will be finishing his work at 7 o’clock.
(เขาจะทำงานของเขาเสร็จตอนเจ็ดโมงเช้า)

2.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น

You will be laughing when you see her with that dress.
(คุณจะต้องขำแน่ๆถ้าคุณเห็นเธออยู่ในชุดนั้น)

 3.ใช้กับ เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดไม่พร้อมกันในอนาคต โดย…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน จะใช้ Future Continuous Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง จะใช้ Present Simple Tense   เช่น

 I will be watching movies when you cook dinner.
(ฉันจะกำลังดูหนังอยู่ในขณะที่คุณทำกับข้าวมื้อเย็น)


หลักการใช้ Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง)


1.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูด ต่อเนื่องไปเรื่อยๆและจบในอนาคต โดยอาจจะใช้ Adverbs of Time (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา) บางคำ เช่น now, at the moment, right now, at present, these days เป็นต้น เข้ามาช่วยในประโยคด้วย เช่น

She is going to the supermarket at the moment.
(หล่อนกำลังไปซุปเปอร์มาร์เกตอยู่ตอนนี้)

2.ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น

I am meeting my boss this evening.
(ฉันจะพบกับเจ้านายเย็นนี้)

 3.ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น

He is going to China tonight.
(เขาจะเดินทางไปยังประเทศจีนคืนนี้)

4.กริยาบางตัวไม่สามารถใช้ในรูปของ Present Continuous Tense ได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้น หรือ ดำเนินอยู่ก็ตาม โดยเรามักใช้ในรูปของ Present Simple Tense กับคำกริยากลุ่มนี้แทน ซึ่ง ได้แก่
            
                     4.1) กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell

I smell something bad. (ถูก)
I am smelling something bad. (ผิด)

                     4.2) กริยาที่แสดงความนึกคิด ความรู้สึก เช่น know, understand, think, believe, agree, notice, doubt, suppose, forget, remember, consider, recognize, appreciate, forgive

I believe her. (ถูก)
I am believing her. (ผิด)

                     4.3) กริยาที่แสดงความชอบและความไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate, prefer, trust, detest

He likes a woman with long hair. (ถูก)
He is liking a woman with long hair. (ผิด)

                     4.4) กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire, prefer

 I want to get married. (ถูก)
 I am wanting to get married. (ผิด)

                     4.5) กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have, own, belong

 She has no children. (ถูก)
She is having no children. (ผิด)


หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)



1.มีวิธีการใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense ต่างกันเพียงตรงที่ Future Perfect Continuous Tense นั้น เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่ ดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งและยังคงจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมักใช้กับ for + เพื่อแสดงระยะเวลาของเหตุการณ์ หรือ การกระทำนั้นๆ เช่น

By 2012, we will have been living in Bangkok for 7 years.
(ในปี 2012 ก็จะครบรอบที่เราออยู่ในกรุงเทพเป็นเวลา 7 ปีแล้ว)


2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ ต้องการเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดการกระทำหนึ่งในอนาคต โดย… เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน จะใช้ Future Perfect Continuous Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง จะใช้ Present Simple Tenseเช่น

 He shall have been cleaning his room for an hour when I visit him.
(เขาน่าจะกำลังทำความสะอาดห้องของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วในตอนที่ฉันไปหาเขา)


หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense
(อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)

1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต โดยอาจใช้กับคำว่า since และ for เช่น

She had been shouting for help since she fell down the stairs.
(เธอได้ร้องขอความช่วยเหลือตั้งแต่เธอได้ตกบันไดลงมา)

2.ใช้พูดถึงการกระทำที่ เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เช่น

I had been smoking for 5 months.(ฉันเคยสูบบุหรี่มาเป็นเวลาห้าเดือน)

3.Past Perfect Continuous Tense จะ เน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำ (Continuity of action) มากกว่า Past Perfect Tense


หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense
(ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)

1.คำกริยาที่ใช้กับ Present Perfect Continuous Tense นั้น จะต้องเป็นคำกริยาที่แสดงถึงความต่อเนื่อง หรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่นาน (long action) เท่านั้น เช่น play, look, watch, learn, live, wait, eat และอื่นๆ โดยไม่สามารถใช้กับกริยาที่ไม่แสดงถึงความต่อเนื่อง หรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่จบในทันทีได้ เช่น stop, prefer, arrive เป็นต้น เช่น

I have been playing games since afternoon.
(ฉันเล่นเกมส์มาตั้งแต่ตอนบ่าย)

2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และยังคงดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยใช้กับคำว่า since และ for เช่น

She has been sitting here for an hour.
(เธอนั่งอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาชั่วโมงหนึ่งแล้ว)

3. Present Perfect Continuous Tense อาจนำมาใช้ได้กับเหตุการณ์ที่ สิ้นสุดลงแล้ว แต่ส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น

You look tired. Have you been sleeping properly?
(คุณดูเหนื่อยจัง คุณได้นอนหลับมาเพียงพอหรือเปล่า)



4.Present Perfect Continuous Tense จะ เน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำ (Continuity of action) มากกว่า Present Perfect Tense

หลักการใช้ Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์)

1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่ เกิดขึ้น และสิ้นสุดลงแล้วในอดีตทั้ง 2 เหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงก่อนหน้าอีกเหตุการณ์ โดย…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อน จะใช้ Past Perfect Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงทีหลัง จะใช้ Past Simple Tense

We had gone out before he came.
(เราออกไปข้างนอกกันแล้วก่อนที่เขาจะมา)

2.Past Perfect Tense มักจะใช้กับคำว่า before, after, already, just, yet, until, till, as soon as, when, by the time, by… (เช่น by this month) และอื่นๆ โดยจะมีอาจวิธีการใช้ต่างกันไป เช่น Before + Past Simple Tense + Past Perfect Tense   เช่น

Before I went to the school, I had had a car accident.
(ก่อนที่ฉันจะไปโรงเรียน ฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์)

After + Past Perfect Tense + Past Simple Tense เช่น

After I had finished my homework, I went to the Internet Café.
(หลังจากที่ฉันทำการบ้านเสร็จ ฉันก็ไปยังร้านอินเตอร์เน็ต)

By  he time + Past Simple Tense + Past Perfect Tense เช่น

By the time he came here, I already had finished my dinner.
(ตอนที่เขามาถึง ฉันก็กินข้าวมื้อเย็นของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
หลักการใช้ Present Perfect Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และมีแนวโน้นที่จะดำเนินต่อไปได้อีกในอนาคต เช่น

I have had a lot of toys.
ฉันมีของเล่นมากมาย (และอาจจะมีของเล่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต)

2. ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น

It has stopped raining.
ฝนหยุดตกแล้ว (แต่ถนนยังเปียกอยู่)

3.ใช้พูดถึง เหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยมักใช้คำว่า many/several times, a lot of times, …times, again and again, over and over และอื่นๆ เช่น

I’ve read this book more than 3 times.
(ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้มามากกว่าสามรอบแล้ว)

4.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เพิ่งสิ้นสุดลง โดยไม่ระบุเวลา ซึ่งมักใช้กับ just, already และ yet  yet มักใช้ในประโยคปฏิเสธ ส่วน just และ already นั้น มักจะใช้กันในประโยคบอกเล่า โดยวางไว้อยู่หน้ากริยาหลัก
เช่น

I haven’t finished my homework yet.
(ฉันยังทำการบ้านของฉันไม่เสร็จเลย)

5.ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งมักใช้กับ just, recently, lately และอื่นๆ

The meeting has just started.
(การประชุมเพิ่งจะเริ่มขึ้น)
หลักการใช้ Future Simple Tense (อนาคตกาลปกติ)

1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักใช้กับ Adverb of Time เช่น tomorrow, next…, soon, shortly, later และอื่นๆ เช่น

I will go to the hospital tomorrow.
(ฉันจะไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้)

2.ใช้กับประโยคที่ ตัดสินใจในขณะที่พูด โดยไม่ได้วางแผนมาก่อน เช่น

I think I will buy a new mobile phone next week.
(ฉันคิดว่าฉันจะซื้อมือถือเครื่องใหม่อาทิตย์หน้า)

3.เราอาจใช้ “to be going to” แทน will/shall ใน Future Simple Tense เมื่อ…
 •กล่าวถึง แผนการ หรือ ความตั้งใจ เช่น

He is going to have a new pet next month.
(เขากำลังจะได้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ในเดือนหน้า)

หลักการใช้ Past Simple Tense (อดีตกาลปกติ)

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งมักจะมีคำหรือวลีที่บ่งบอกถึงเวลาในอดีตในประโยคเสมอ เช่น yesterday, last…, … ago, once, this morning, when I was… และอื่นๆ เช่น

I met a beautiful girl last night.
(ฉันเจอผู้หญิงสวยคนหนึ่งเมื่อคืนนี้)

2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว โดยมักมี Adverbs of Frequency (กริยาวิเศษณ์แสดงความถี่) อยู่ในประโยคด้วย เช่น often, always, sometimes และอื่นๆ ซึ่งมักจะมี Adverb of Time (กริยาวิเศษณ์แสดงเวลา) ระบุถึงเวลาในอดีตด้วย เช่น last month, last year และอื่นๆ เช่น

I cooked every night last month.
(ฉันทำอาหารทุกคืนเมื่อเดือนที่แล้ว)


หลักการใช้ Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลปกติ)

1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา เช่น

I drink a lot of water.
(ฉันดื่มน้ำเยอะ)

2.ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ เช่น

I always do my homework.
(ฉันทำการบ้านของฉันเสมอ)

3.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เป็นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็นกฎทางธรรมชาติ (natural law) โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือไม่ เช่น

Snow is white.
(หิมะมีสีขาว)

4.ใช้เมื่อต้องการพูดถึง ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ที่ได้วางไว้ เช่น

The meeting starts from 8.30 am until 10.00 pm.
(การประชุมเริ่มตอนแปดโมงครึ่งตอนเช้าไปยังสี่ทุ่ม)

5.ใช้ในการ แนะนำ บอกแนวทาง หรือ สอน เช่น

How do I get to the nearest mall? Go straight and turn left on the next corner.
(ฉันจะไปยังห้างที่ใกล้ที่สุดได้อย่างไร เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมข้างหน้า



อ้างอิงค์จาก  http://www.dek-eng.com/

 
 
 
ที่มา..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/352736

Modal Verbs


Modal verb

Modal verb หรือกริยาช่วย อันได้แก่ can, could, may, might, will และ would
ฯลฯ นั้น ทำหน้าที่ได้ 2 ประการ คือ 1) ใช้แสดง ‘ความเป็นไปได้’ และ 2) ใช้แสดง
มารยาททางสังคมต่างๆ




         1. การใช้ modal verbs แสดง ‘ความเป็นไปได้’
    Modal verbs ใช้แสดงได้ทั้ง ‘ความเป็นไปได้’ และ ‘แนวโน้มของความเป็นไปได้’
Modal verbs จึงแสดงได้ทั้ง ‘ความเป็นปัจจุบัน’ และ ‘ความเป็นอนาคต’
    เราสามารถแบ่งระดับการใช้ modal verbs ที่แสดง ‘ความเป็นไปได้’ และ ‘แนวโน้ม
ของความเป็นไปได้’ ได้ 3 ระดับดังนี้
      เป็นไปได้มาก               เป็นไปได้ปานกลาง                                     เป็นไปได้น้อย
(ในปัจจุบันหรือในอนาคต)          (ในปัจจุบันหรือในอนาคต)           (ในปัจจุบันหรือในอนาคต)
  can                              may                                                     could
  will                              might
 must                            could
  should
    ส่วน would จะใช้เพื่อแสดงการจินตนาการหรือการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต
CAN, WILL และ MUST แสดงความเป็นไปได้มาก
    เมื่อเราจะพูดหรือเขียนแล้วเรารู้สึกว่า สิ่งที่เราจะพูดหรือเขียนนั้น ‘มีความเป็นไปได้
มาก’ หรือ ‘มีแนวโน้มของความเป็นไปได้มาก’ เราก็จะใช้ can, will หรือ must ดังนี้


Can
    Can มีความหมายว่า ‘สามารถ’ หรือ ‘มีโอกาสที่จะ’ เวลาเราใช้ can ความหมายทั้ง 2 นี้ก็จะปะปนกันไป แต่บางครั้งก็แยกกันชัดเจน อันขึ้นกับสถานการณ์การใช้ในขณะนั้น ดังนี้
   –I can speak English.
     ฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้

   –She can come.
     เจ้าหล่อนสามารถ/มีโอกาสที่จะมาได้

   –I can get soaked to the skin out there.
     ฉันมีโอกาสที่จะเปียกจนชุ่มโชกได้ที่ข้างนอกนั่น

   –He can’t further his study abroad.
     เขาไม่มีโอกาสที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศ


Will
    Will นอกจากจะใช้เพื่อแสดงว่า ‘จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นในอนาคต’ ในกรณีของ Future Simple แล้ว เรายังใช้ will ได้ใน 2 กรณีดังต่อไปนี้
1. ใช้ will เพื่อแสดง ‘ความเป็นไปได้มาก’ หรือ ‘แนวโน้มของความเป็น
     ไปได้มาก’


   –There will be rain.
     มีความเป็นไปได้มากที่ฝนจะตก

   –It won’t be long.
     มีความเป็นไปได้มากที่จะไม่นาน

   –This box will contain that stuff.
     มีความเป็นไปได้มากที่กล่องนี้จะบรรจุสิ่งนั้นไว้ได้

   –Take this helmet or you will get fined.
     เอาหมวกกันน็อคนี้ไปสวม มิฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้มากที่คุณจะถูกปรับ
2. ใช้ will เพื่อแสดง ‘ความเต็มใจที่จะทำบางสิ่ง’ หรือ ‘คำสัญญาที่จะทำ
     บางสิ่ง’


   –I will remember you.
     ฉันให้สัญญาว่าจะจดจำคุณไว้ในใจ

   –I promise I will love you forever.
     ผมให้สัญญาว่าจะรักคุณตลอดไป

   –I’ll die for you.
     ผมเต็มใจที่ตายเพื่อคุณ

   A: You should click on this website.
       คุณควรจะคลิ๊กเข้าไปที่เว็บไซตนี้
   B: Yes, I will.
       ตกลงครับ....ผมเต็มใจที่จะทำ


Must
    Must ตรงกับคำในภาษาไทยว่า ‘ต้อง’ เราใช้ must เมื่อเรามั่นใจว่าบางสิ่ง ‘ต้อง’
เกิดขึ้น ดังนี้
   –He must be her brother.
     เขาต้องเป็นพี่ชายของเจ้าหล่อนแน่

   –You must be joking.
     คุณต้องกำลังล้อฉันเล่นแน่ๆ

   –Your phone is so cool. It must be expensive.
     โทรศัพท์ของคุณเจ๋งมาก มันต้องแพงแน่ๆเลย

   –She has got determination, so she must get succeeded.
     เจ้าหล่อนมีความมุ่งมั่น ดังนั้น เจ้าหล่อนต้องประสบผลสำเร็จ

MAY, MIGHT, COULD และ SHOULD แสดงความเป็นไปได้
ปานกลาง
    ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราจะพูดหรือเขียนถึง ‘มีความเป็นไปได้ปานกลาง’ หรือ ‘มีแนว
โน้มของความเป็นไปได้ปานกลาง’ ให้เราใช้ may, might, could หรือ should
May, Might, Could
    May, might และ could จะมีความหมายเหมือนกันว่า ‘อาจจะ’ เวลาเราใช้ เราจะเลือก
ใช้คำใดคำหนึ่งก็ได้ ดังนี้
   –I may buy it.
     ฉันอาจจะซื้อมัน

   –She might go.
     เจ้าหล่อนอาจจะไป

   –It could happen.
     มันอาจจะเกิดขึ้นได้

   –They may/might/could be wrong.
     พวกเขาอาจจะผิดก็ได้


Should
    Should มีความหมายตรงกับคำในภาษาไทยว่า ‘น่าจะ’ หรือ ‘ควรจะ’ เราจึงใช้
should ในลักษณะดังต่อไปนี้
   –The dog should be OK in a few days.
     เจ้าตูบน่าจะหายเป็นปกติดีในอีก 2-3 วัน

   –They are talking about what should be her next film.
     พวกเขากำลังพูดคุยกันว่า อะไรน่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเจ้าหล่อน

   –Where is my phone? It should be in my purse.
     โทรศัพท์ฉันไปอยู่ที่ไหนนี่? มันควรจะอยู่ในกระเป๋าถือฉันนี่น่า

   –This word is spelled wrong. It should be ‘b-e-l-i-e-v-e’ not
      ‘b-e-l-e-i-v-e’.

     คำนี้สะกดผิดนี่นา มันควรจะเป็น ‘b-e-l-i-e-v-e’ ไม่ใช่ ‘b-e-l-e-i-v-e’

   –I’ve already sent my email. You should get it by now.
     ฉันได้ส่งอีเมวล์ของฉันไปเรียบร้อยแล้ว เธอควรจะได้รับมันแล้วตอนนี้

COULD แสดงความเป็นไปได้น้อย
    Could นอกจากจะใช้เพื่อแสดง ‘ความเป็นไปได้ปานกลาง’ หรือ ‘แนวโน้มของความ
เป็นไปได้ปานกลาง’ แล้ว เรายังใช้ could เพื่อ ‘กล่าวในเชิงเปรียบเทียบที่เหนือจริง’ หรือ
ใช้เพื่อแสดง ‘ความเป็นไปได้น้อย’ ดังนี้
   –This movie is so fun. I could watch it one hundred times.
     ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกมาก ฉันแทบจะดูมันได้นับร้อยครั้งเลยทีเดียว

   –I’m starving. I could eat up all of these foods.
     ฉันกำลังหิวจนตาลาย ฉันแทบจะกินอาหารเหล่านี้ได้จนหมดเลยทีเดียว

   –You could win the prize.
     คุณคงถูกรางวัลเข้าบ้างล่ะน่า

   –I could swim across the river.
     ฉันคงจะว่ายข้ามแม่น้ำได้



การใช้ WOULD แสดงจินตนาการหรือการคาดการณ์
    Would เป็นคำกลางๆที่ไม่แสดงถึงระดับของความเป็นไปได้ว่า ‘มาก’, ‘ปานกลาง’
หรือ ‘น้อย’ เราจึงใช้ would เมื่อเรา ‘จินตนาการ’ หรือ ‘คาดการณ์’ เกี่ยวกับเหตุการณ์
ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นั้นๆอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ดังนี้

    –There would be loss of money. (The Guardian/The Nation)
      คาดการณ์ได้ว่าจะเป็นการสูญเปล่าทางด้านการเงิน
   –I imagine that she would forgive me someday.
     ฉันจินตนาการว่าเจ้าหล่อนจะให้อภัยฉันวันหนึ่งข้างหน้า

   –I would sell it, but I’m not its owner.
     ฉันจะขายมัน แต่ฉันก็ดันไม่ใช่เจ้าของมันซะอีก

   –That incident would have link with terrorism more or less.
     เหตุการณ์นั่นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายไม่มากก็น้อย

   –I believe that she would marry him.
     ฉันเชื่อว่าเจ้าหล่อนน่าจะแต่งงานกับเขา


การใช้ COULD, MAY HAVE และ WOULD แสดงความ
เป็นอดีต


    เราสามารถใช้ could, may have และ would แสดงความเป็นอดีตได้ดังนี้
การใช้ could แสดงความเป็นอดีต

    เราใช้ could แสดงความเป็นอดีตของ can ได้ดังต่อไปนี้

    –She said she could do that.

    –I sat next to her. I could smell her scent.

    –He could read and understand English when he was only five.

    –Both of us had no match on us. So we couldn’t light the candles.

การใช้ may have/might have แสดงความเป็นอดีต

    เราใช้ may have หรือ might have แสดงความเป็นอดีตของ may หรือ might ได้ดังต่อไปนี้

    –He said he may have bought it.

    A: This morning he didn’t call me.
    B: He might have been busy doing his homework.
การใช้ would แสดงความเป็นอดีต

    เราใช้ would แสดงความเป็นอดีตของ will ได้ดังต่อไปนี้
    –He told me that he would come.


    2. การใช้ modal verbs แสดง ‘มารยาททางสังคมต่างๆ’
2.1 การขออนุญาต  

    เราใช้ Can/Could, May/Might, Would ในการขออนุญาต ดังนี้
   Can I take this?
     ผมขออนุญาตเอาสิ่งนี้ไปได้ไหม?

   Could I ask a question?
     ผมขออนุญาตถามคำถามหนึ่งคำถามได้ไหม?

   May I come in?
     ผมขออนุญาตเข้าไปได้ไหม?

   Might I make a comment?
     ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นได้ไหม?

   Would you mind if I smoke?
     คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะสูบบุหรี่?


  
การให้อนุญาต
    

   เราใช้ Can, May ในการให้อนุญาต ดังนี้

   –You can go now.
     ฉันอนุญาตให้เธอไปได้แล้ว

   –All pupils may not take mobile phones into the exam rooms.
     นักเรียนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าไปในห้องสอบ

2.2 การขอให้ช่วย


    เราใช้ Can/Could, May/Might, Will, Would ในการขอให้ช่วย ดังนี้
   Can you help me with this luggage?
     ช่วยดิฉันเอากระเป๋าเดินทางนี้ไปหน่อยได้ไหมคะ?

   Could you please help my daughter?
     ขอความกรุณาช่วยลูกสาวของดิฉันด้วยคะ?

   May you carry these shopping bags for me?
     ช่วยดิฉันถือถุงเหล่านี้หน่อยได้ไหมคะ?

   Might you open your trunk, please?
     ช่วยกรุณาเปิดฝากระโปรงท้ายรถด้วยครับ?

   Will you bring this in?
     ช่วยเอาเจ้าสิ่งนี้เข้าไปข้างในด้วยคะ?

   Would you pass me that sauce?
     ช่วยส่งซ็อสนั่นให้ดิฉันหน่อยได้ไหมคะ?


2.3 การเสนอตัวเพื่อช่วย
    เราใช้ Can/Could, May/Might ในการเสนอตัวเพื่อช่วย ดังนี้
   Can I help you?
     ให้ผมช่วยนะครับ?

   Could I make you a cup of coffee?
     น้องชงกาแฟให้นะคะ?

   May I help?
     ให้ผมช่วยนะครับ?

   Might I give you some advice?
     ให้ผมแนะนำอะไรหน่อยได้ไหมครับ?


2.4 การถามถึงความต้องการของผู้อื่น

    เราใช้ Will, Would เพื่อถามถึงความต้องการของผู้อื่น ดังนี้
   Will you want anything else?
     คุณต้องการอะไรอีกไหมครับ?

   Would you like a cup of coffee?
     จะรับกาแฟซักถ้วยไหมคะ?


2.5 การบอกถึงความต้องการของเรากับผู้อื่น

    เราใช้ Will, Would เพื่อบอกถึงความต้องการของเรากับผู้อื่น ดังนี้
   –I will have a piece of cake.
     ผมขอสั่งเป็นขนมเค็กชิ้นหนึ่ง

   –I would like a dish of roasted chicken.
     ผมขอสั่งเป็นไก่ย่างหนึ่งจาน


2.6 การขอคำแนะนำ
    เราใช้ Should ในการขอคำแนะนำ ดังนี้
   Should I wear this dress?
     ฉันควรจะใส่ชุดนี้ไหม?

       การให้คำแนะนำ

    เราใช้ Should ในการให้คำแนะนำ ดังนี้


   –You should go to see the doctor.
     เธอควรจะไปหาหมอนะ


2.7 การเชื้อเชิญ
    เราใช้ Will ในการเชื้อเชิญ ดังนี้

   Will you come to my party?
     ขอเชิญคุณมางานเลี้ยงสังสรรค์ของดิฉันด้วยค่ะ?

    2.8 การออกคำสั่ง

    เราใช้ Will ในการออกคำสั่ง ดังนี้


   –You will be next.
     หนูเป็นคนต่อไป

ที่มา http://www.englishtrick.com/grammargood/modal_verbs_all/modal_v_p2.html

Using on,in,at

หลักการใช้ in, on, at ในภาษาอังกฤษอย่างไรไม่ให้พลาด

In, on, at คือคำบุพบท (preposition) ซึ่งนอกจากจะใช้บอกสถานที่ เรายังใช้ระบุวัน และเวลาได้ด้วย มีหลักการใช้ที่ง่ายมากๆ ดังนี้ค่ะ
In ใช้บอกช่วงเวลาหรือสถานที่แบบกว้างมากๆ เช่น
        - ใช้ระบุเวลาในระดับปี I was born in 1990.
        - ระบุฤดูกาล In the summer, I love to go to the beach.
        - ระบุเดือน My final exam is in October.
        - ระบุประเทศ My parents are in Japan at the moment.
        - ระบุชื่อเมือง I bought this bag in New York City.
        - ระบุช่วงเวลาของวัน My friend runs 10 km in the morning every day. ***ยกเว้น ตอนกลางคืน จะใช้ at night***

On ใช้ระบุเวลาและสถานที่ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในระดับวัน, ชื่อถนน, ชั้นของตึก เช่น
        - ระบุวัน I was born on Monday 23th July 1984.
        - ระบุชื่อถนน Jack’s house is on Sukhumvit 39 Road. สังเกตว่า การบอกถนนยังกว้างๆ อยู่ ถ้าจะให้ไปบ้านแจ๊คจริงๆ ก็คงยังไปไม่ถูก เพราะรู้แค่ว่าอยู่ที่ถนนสุขุมวิท
        - ระบุชั้นของตึก Ajarn Mark’s office is on the 9th floor, Chang Building.

At ใช้เมื่อต้องการระบุเวลา และสถานที่แบบเป๊ะๆ เฉพาะเจาะจงที่สุด หายังไงก็เจอ นัดยังไงก็ไม่มีพลาด เช่น
        - ระบุเวลา See you tomorrow at 8.00 a.m. เจอกันพรุ่งนี้ แปดโมง The University Sports Day starts at 3.00 p.m. on 1st December. กีฬามหาวิทยาลัยเริ่มตอนบ่าย 3 โมง วันที่ 1 ธันวาคม
        - ระบุสถานที่ Jack’s house is at 55/60 Soi Sukhunvit 39. คราวนี้ไปบ้านแจ๊คถูกแน่นอน เพราะรู้เลขที่บ้าน

ทริคในการจำที่พี่อยากแนะนำ คือ ท่องในใจดังๆ ว่า “in , on , at กว้าง แคบ เป๊ะ”
เรามาลองทดสอบกันดีกว่าว่าทริคนี้ได้ผลหรือไม่ ลองเติม Preposition in, on, at ลงในประโยคด้านล่างนี้ดูนะคะ
“This year, the University Sports Day will be held ……..1st December……..3.00 p.m. ……….the Surakit Stadium ……..the 3rd floor.”


 

 

Subject verb agreement

 
 

                   ในประโยคภาษาอังกฤษ  ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา  (Verb )                     จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์  ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์   ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์  เช่น

government , committee  ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้
furniture,money  ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้                     มีความหมายเป็นเอกพจน์
police, people  ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น
                   เพราะฉะนั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง nouns รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆให้ถ่องแท้                           จึงจะสามารถใช้คำกริยาให้สอดคล้อง กับประธานได้อย่างถูกต้อง
 หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์
Jane lives in China. เจนอาศัยอยู่ในประเทศจีน
The  Jones live in France. ครอบครัวโจนส์อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
 
2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์
Jean and David are moving back to Australia. เจนและเดวิด กำลังจะย้ายกลับไปประเทศออสเตรเลีย

3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and   แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน                                          ใช้กริยาเป็นเอกพจน์
Bread and butter has been my breakfast for years. ขนมปังและเนยเป็นอาหารมื้อเช้าของฉันมาหลายปีแล้ว
Honesty and truth is the best policy. ความซื่อสัตย์และความจริงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด
Rice and curry is my  daughter’s favorite food. ข้าวแกงกะหรี่เป็นอาหารโปรดของลูกสาวฉัน
แต่ถ้าผู้พูดคิดว่าแยกกัน    ก็จะมีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น
Rice and curry are what  we have  for lunch today. เรามีข้าวและแกงกะหรี่เป็นอาหารกลางวันวันนี้

4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1  และเชื่อมด้วย and    หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว    หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง เช่น
The manager and owner of this restaurant is my friend.
ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเดียวกัน )
The manager and the owner of this restaurant are my friends.
ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเละคน  )
The black and white cat under the table is my cat.
แมวขาวดำใต้โต๊ะนั้นเป็นแมวของฉัน                           ( ตัวเดียว )
The black and the white cat under the table are my cats. 
แมวขาวและแมวดำใต้โต๊ะนั้น เป็นแมวของฉัน ( 2 ตัว )


 5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น                      
 ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก

accompanied by ( พร้อมด้วย )in company with  ( พร้อมด้วย )
along with ( พร้อมด้วย )including ( รวมทั้ง )
as well as ( เช่นเดียวกับ )like ( เช่นเดียวกับ )
besides (นอกจาก )not ( ไม่ใช่ )
but ( ยกเว้น )plus ( รวมทั้ง )
except ( ยกเว้น )together with ( พร้อมด้วย )
excluding ( ไม่นับ )with ( พร้อมกับ )
in addition to ( นอกจาก )
เช่น 
John together with his colleagues has agreed to work late tonight to get the job finished.            จอห์นพร้อมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขาตกลงที่จะอยู่ทำงานดึกเพื่อให้งานเสร็จ                 ( ใช้กริยาตาม John )
Some people including my brother find cricket boring. คนบางคนรวมทั้งน้องชายฉันคิดว่า            คริกเก็ต
( เป็นกีฬาที่คล้ายเบสบอลนิยมเล่นในประเทศอาณานิคมอังกฤษเช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน ) เป็นกีฬาที่น่าเบื่อ ( ใช้กริยาตาม some people)

6.ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
John, with all his players, was on the field.
จอห์นพร้อมด้วยบรรดาผู้เล่นของเขาอยู่บนสนาม (  with all his players ขยายประธานคือ John )
Mr. Clark,like our other neighbors,is very helpful.
คุณคลาร์คก็ให้ความช่วยเหลือเราดีเหมือนคนอื่นๆ

7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ   ได้แก่

anybodyeverybodysomeone
anyoneeveryonesomebody
anythingeverythingsomething
anywhereeverywheresomewhere
each + นามเอกพจน์either + นามเอกพจน์neither +นามเอกพจน์
each of + นามพหูพจน์either of + นามพหูพจน์neither of +นามพหูพจน์
nobodyevery + นามเอกพจน์nothing
เช่น
Is there anybody here who could speak Japanese? มีใครที่นี่พูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง
Each of the lessons takes an hour. บทเรียนแต่ละบทใช้เวลา 1 ชั่วโมง
Somebody is in the room. มีใครบางคนในห้อง
Neither of my sisters is married. ไม่มีน้องสาวคนไหนของฉันแต่งงานเลย
Either of us is   to clean up the house after the party tonight.
เราคนใดคนหนึ่งต้องทำความสะอาดบ้านหลังงานเลี้ยงคืนนี้
 
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง

orneither… nor
either….ornot only……but also
เช่น   Neither the Priminister nor his representatives are to attend the meeting.                         ทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้แทน        ( ของนายก ฯ )ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุม
Either the teachers or the principal is to blame for the accident.                                                    ไม่พวกครูก็ครูใหญ่ต้องรับผิดชอบในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
Not only Jim but also  his friends are  coming to the party tonight.                                                ไม่เพียงแต่จิมเท่านั้นที่มาร่วมงานเลี้ยง  เพื่อนๆของเขาก็มาด้วย
หมายเหตุ ในกรณีประธาน 2 ตัว  นิยมเอาประธานที่เป็นพหูพจน์ไว้ข้างหลังมากกว่า


 9,  คำ  Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
all, both,  (a) few, many, several, some
เช่น 
All were ready to leave the party by midnight.  ทั้งหมดพร้อมที่จะออกจากงานเลี้ยงตอนเที่ยงคืน
Few were in the audience to see the horrible play. มีคนดูละครห่วยๆนี้อยู่ไม่กี่คน
Many were invited to the lunch but only twelve showed up. มีคนไดัรับเชิญรับประทานอาหารกลางวันหลายคน แต่มีคนมาเพียง 12 คน
 10.การใช้วลีบอกปริมาณ
1. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ถ้าตามด้วยนามเอกพจน์ต้องใช้ กริยาต้องใช้เอกพจน์                                             ถ้าตามด้วยนามพหูพจน์กริยาต้องใช้พหูพจน์

a lot ofplenty ofmost ofsome of
lots ofall ofnone of…percent of
เช่น
I think a lot of English wine is too sweet.
ฉันคิดว่า ไวน์ของอังกฤษจำนวนมากที่หวานเกินไป ( wine เป็น นามนับไม่ได้มีความหมายเป็นเอกพจน์
A lot of people are in the room,  มีคนจำนวนมากในห้อง
( people มีรูปเอกพจน์คือไม่มี s แต่มีความหมายพหูพจน์จึงใช้ are
Some of my jewelry is missing.    ของประดับมีค่าของฉันหายไปบางชิ้น
Some of my friends were at the airport to see me off    เพื่อนบางคนไปส่งฉันที่สนามบิน
Ten per cent of the men have lung problems.  สิบเปอเซนต์ของผู้ชายมีปัญหาเกี่ยวกับปอด
Ten per cent of the money is yours.   เงินสิบเปอเซนต์เป็นของคุณ
2. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ และกริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ตามด้วยคือ

a number ofmany
a large number ofa good many
a great number ofa great many
เช่น
A number of students are playing football.  นักเรียนจำนวนมากกำลังเล่นฟุตบอล
A large number of tourists get lost because of that sign.  นักท่องเทียวจำนวนมากหลงทางเพราะป้ายนั้น
There  are still a large number of problems to be solved.   ยังมีปัญหาต้องแก้ไขอีกมาก
11.วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้  กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป

mucha large number of
a great deal ofa large amount of
a good deal ofa large quantity of
เช่น
Although a great deal of progress has been made in the development of  spoken communication with computers, there  are still a large number of problems to be solved.
หมายเหตุ  แต่  the number  of  ตามด้วยนามพหูพจน์ และใช้กริยาเอกพจน์ เช่น
The number of students in the class is limited to twenty.   จำนวนของนักเรียนในห้องจำกัดที่ยี่สิบคน

12.ประโยคที่มี who, which , that เป็น Relative Pronoun  กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which , that   เช่น                              He is one of my friends who are millionaires.  เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน ( ในหลายๆคน ) ที่เป็นเศรษฐี
( ใช้ are เพราะ who ขยาย my friends )

13.ประธานที่ขึ้นต้นด้วย Infinitive Phrase ( วลีที่นำหน้าด้วย to ) หรือ gerund ( ing ) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ตาม เช่น
To see is to believe. ต้องได้เห็นจึงจะเชื่อได้ ( สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น )
To distill a quart a moonshine takes two hours.    การกลั่นเหล้าเถื่อน1ควอตใช้เวลา 2 ชั่วโมง
Winning the national championship is her most important achievement.
การชนะเลิศระดับชาติเป็นความสำเร็จที่สำคัญมากสำหรับเธอ

14.จำนวนเงินหรือมาตราต่างๆ  เช่น   ถือเป็นเอกพจน์ เช่น
Twenty thousand bahts is too high for this camera. ราคาสองหมื่นบาทสูงเกินไปสำหรับกล้องตัวนี้
Two hundred miles is a long way. สองร้อยไมล์เป็นระยะทางที่ไกลมาก

15.เศษส่วนของคำนามพหูพจน์เป็นพหูพจน์  เศษส่วนของคำนามเอกพจน์เป็นเอกพจน์
Two-thirds of the boys are absent.   สองในสามของเด็กชายขาดเรียน
Two-thirds of the wall has been painted.  สองในสามของฝาผนังได้ทาสีไปแล้ว
1
6.ชื่อหนังสือหรือบทความเป็นเอกพจน์ เช่น
Gulliver’s travels was written by  Swift. หนังสือเรื่องการเดินทางของกัลลิเวอร์                                         เขียนโดยสวิฟต์

ที่มา https://supprauk99.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1-conversation/subject-verb-agreement/

Active Voice and Passive Voice


Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร

สองคำนี้เป็นชื่อเรียกประโยคในภาษาอังกฤษที่มีความแตกต่างกันสองชนิดดังนี้
Active Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ  (ใคร ทำอะไร) เช่น
Thai people eat rice. คนไทยกินข้าว (ประธานคือ คนไทย)
Passive Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (ใคร ถูกทำ) เช่น
Rice is eaten by Thai people. ข้าวถูกกินโดยคนไทย (ประธานคือ ข้าว)

โครงสร้าง Passive Voice เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่

โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง 3 หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน
ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้
Present Tense
  • Present simple tense (Active voice )
  • Present simple tense (Passive voice )
  • Presenst continuous tense (Active voice)
  • Presenst continuous tense (Passive voice)
  • Present perfect tense (Active Voice)
  • Present perfect tense (Passive Voice)
  • Present perfect continuous tense (Active Voice)
  • Present perfect continuous tense (Passive Voice)
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ 8 เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก 8 และ Future Tense อีก 8 รวมเป็น 24 โครงสร้าง
ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้
  • Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
  • แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
  • แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น 2 ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
  • ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24 โครงสร้าง
  • แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม

 แล้ว Tense 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร

Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ
เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้

ตัวอย่างประโยค

Present Tense
Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season. ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people. ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)
That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hit. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)
He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years. บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี
Past Tense
We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday. ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้
Future Tense
We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow. ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้
ถึงแม้จะมีตั้ง 12 แต่ใช้จริงแค่ 4-5 ตาใตัวอย่าง


ที่มา  http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/active-voice-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-passive-voice-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A/









 

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำศัพท์แบบคล้องจอง


คำศัพท์แบบคล้องจอง

ชุดที่ 1
son  บุตรชาย  ขาย sell    Tell  บอก  ออก out  cow  แม่วัว  หัว head get  ได้รับ  จับ catch  
mat เสื่อ  เสือ tiger   boxer  นักมวย    สวย beautiful  pull  ดึง  มาถึง arrive  advice  คำแนะนำ  
จำ remember   never  ไม่เคย  เนย butter   better  ดีกว่า   come  มา
ชุดที่ 2
drum  กลอง ทอง gold  hold  ถือ  มือ hand  fan  พัด แบบฝึกหัด exercise child  เด็ก เล็ก small  
doll  ตุ๊กตา หมา dog  box  หีบ รีบ hurry  early ก่อนเวลา  ทุ่งนา field  between  ระหว่าง หาง tail  
bell  ระฆัง นั่ง sit  fish  ปลา ม้า horse 
ชุดที่ 3
what อะไร  แม่ไก่ hen  ten  สิบ ดิบ raw  draw  วาด  สะอาด  clean  mean ตีความหมาย 
จ่าย spend  when  เมื่อไหร่  ไข่ egg   beg  ขอ พอ enough  cup  ถ้วย  รวย rich  miss   นายผู้หญิง 
ลิง monkey  money   เงินเดิน walk  talk  พูด ดูด suck 
ชุดที่ 4
mad  บ้า ลุง , อา , น้า  uncle  seven  เจ็ด  เด็ด pick  dig  ขุด หยุด stop  of ของ มอง look 
cook  คนครัวกลัว fear  dear  แพง แดง red  plate  จาน อาหาร food lose  หาย เวลา
บ่าย afternoon  soon  ในไม่ช้า  ราคา cost  hot  ร้อน หล่อน she
ชุดที่ 5
he  เขา เบา light  night  กลางคืน ตื่น wake  take  จับ  นับ count  mouse หนู หมู pig  six  หก 
ตก fall  ball  ลูกหนัง ขนมปัง bread dead  ตาย จดหมาย letter matter เรื่องราว ว่าว kite  high  สูง 
นำ , จูง lead meat  เนื้อ เรือ ship 
ชุดที่ 6
dip  จุ่ม สาว , หนุ่ม young  tongue  ลิ้น กิน eat   need  ต้องการ บ้าน house  now  เดี๋ยวนี้  ดี  good  
put  วาง กลาง  middle  gentle  สุภาพ , ผู้ดี  ไม้ตีกอล์ฟหรือฮ็อกกี้ club  love รัก  เครื่องจักร engine  
until  จนกระทั่ง หวัง hope  soap   สบู่ หู ear clear  แจ่มแจ้ง แสดง show 
ชุดที่ 7
crow  ขัน เหล่านั้น those  boat  เรือ เกลือ salt  tall  สูง นกยูง peacock  chalk  ที่ใช้เขียนกระดานดำ 
ทำ do  to  ถึง ครึ่ง half  laugh  หัวเราะ เคาะ knock  box  ต่อย ร้อย hundred  breakfast  อาหารเช้า
เข้า enter  mother  แม่ ลูกกุญแจ key  see  เห็น ผู้เล่น player 
ชุดที่ 8
gunner  คนยิงปืน ยืน stand   sand  ทราย ไม่สบาย ill   will  จะ ขยะ rubbish   notice   ประกาศ 
ชายหาด seaside  I  ฉัน น้ำมัน oil  boy  เด็กผู้ชาย คุณนาย  madam  handsome  รูปหล่อ
พ่อ  father  teacher  ครู รู้ know  grow  ปลูก  เด็ก ๆ  หรือ ลูก ๆ children  modern  ทันสมัย 
ลูกไก่ chicken  
ชุดที่ 9
till  จนกระทั่ง สั่ง order  other  อื่นๆ อีก  ปีก  wing  sing  ร้องเพลง กางเกง trouser   
neither  ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ผอม  บาง thin  bill  ใบเรียกเก็บเงิน เกิน over  quarter  เศษหนึ่งส่วนสี่
ขี่  ride my  ของฉัน พระจันทร์ moon  noon   เวลาเที่ยง เตียง bed  death  ความตาย 
กระต่าย rabbit   his  ของเขา